กองกำลังของอิมากาวะที่กำลังฉลองชัยชนะล่าสุดที่มีเหนือปราสาทที่ถือโดยโอดะซึ่งมีกำลังน้อยกว่าด้วยสาเกและอาหาร　โดยการใช้พายุฝนเป็นเครื่องอำพรางการเคลื่อนตัว กองทัพของโอดะได้ออกจากเซนโชจิและเดินทางลงจากเขาที่อยู่เหนือหมู่บ้านเล็กๆ นี้และโจมตีอย่างหนักที่ใจกลางค่ายพักของอิมากาวะ

อิมากาวะ โยชิโมโตะที่อยู่ภายในแคมป์ที่มีลักษณะคล้ายเต็นท์ในค่ายสงคราม เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้ครั้งแรกก็คิดว่าเป็นการทะเลาะวิวาทจากทหารที่เมาของเขาเอง　เขาจึงออกจากค่ายพักเพื่อไปสำรวจ และก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองทัพของโอดะที่กำลังเข้ามา　อิมากาวะป้องกันการจู่โจมจากซามูไรของโอดะที่ใช้หอกและได้ตัดหอกที่แทงเข้าหาเขาขาดและฟันโดนขาของชายผู้นั้น　จากนั้นเขาได้ถูกจู่โจมด้วยซามูไรคนที่สองและทันใดนั้นเขาได้ถูกตัดศีรษะลง อิมากาวะ โยชิโมโตะจบชีวิตลงในขณะที่มีอายุเพียงแค่ 41ปี

การต่อสู้ดำเนินต่อไปเพียงระยะสั้น แต่จากการที่ผู้นำได้ถูกปลิดชีพลงก่อนหน้านี้ รวมทั้งเจ้าหน้าระดับสูงถูกฆ่าตายและเหลือเพียงสองคน　กองกำลังที่เหลือจึงทำการยอมแพ้ กองกำลังของโนบุนากะที่มีเพียง 2,500 นาย ได้เอาชนะกองทัพที่มีจำนวนคน 25,000 นายลง!

เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น การรบครั้งนี้ทำให้เห็นจุดจบของกลุ่มอิมากาวะที่ทรงกำลัง　ขณะที่โนบุนากะได้ย่างก้าวแรกเข้าไปสู่การปกครองประเทศก่อนที่จะถูกลอบสังหารในปี 1582 ซึ่งทำให้เชลยผู้มีค่าหัวสูงคนหนึ่งจากกลุ่มอินากาวะเป็นอิสระ　และจากนั้นชายผู้นี้ได้กลายเป็นโชกุนในที่สุด ชายผู้นี้คือโทคุกาวะ อิเอยาสึ!

สนามรบนี้ปัจจุบันได้กลายเป็นสวนที่มีรูปปั้นอันปราณีตของโอดะ โนบุนากะ และอิมากาวะ โยชิโมโตะ ใกล้กับจุดที่เชื่อว่าอิมากาวะได้จบชีวิตลง　เส้นทางของโอดะได้มีป้ายข้อมูลบอกอย่างดีในภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ ซึ่งง่ายแก่การเข้าใจและเห็นความสำคัญของการศึกครั้งนี้　จุดที่เกี่ยวข้องกับทางประวัติศาสตร์อื่น เช่น เนินเจ็ดหัวที่มีศีรษะของศัตรูถูกฝังรวมกัน, วัดโชฟูคูจิบริเวณใกล้เคียงที่ศีรษะจำนวนมากกว่าได้ถูกฝังไว้　ต้นสนแห่งการวางแผนการทหาร และจุดที่การศึกได้เริ่มต้นและต่อสู้